มนุษย์มีอิสระจริงหรือ ?

มนุษย์เรานี้มีอิสระจริงหรือ ? เราจะสามารถรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรามีหรือเป็นนั้นคือความเป็นอิสระอย่างแท้จริง แล้วอิสระนั้นมีอยู่ที่ใด ? อยู่ภายนอกตัวหรืออยู่ภายใน ? หรือสิ่งนี้เป็นเพียงสิ่งที่เราคิดเอาเองว่ามันเป็นความอิสระ หรือเรากำลังแสวงหาความเป็นอิสระในแบบที่เราคิดว่านั่นคืออิสระของเรา ? เป็นไปได้หรือไม่ว่าแม้แต่ความเป็นอิสระที่คนเราต้องการนั้นก็เป็นเพียงสมมุติหนึ่งที่ทำให้เราไปหลงติดในสมมุตินั้น หากคนเราจะต้องเที่ยวแสวงหาความเป็นอิสระทั้งภายนอกและภายในอย่างนี้ไม่เท่ากับเป็นการหลงยึดติดกับสิ่งที่คิดว่านั่นเป็นอิสระหรือ ? หากว่ามนุษย์ยังมีสิ่งที่ยังต้องติดข้องอยู่ไม่อาจที่จะหลุดพ้นได้ นั่นก็หมายความว่ามนุษย์นั้นย่อมยังไม่มีอิสระอย่างแท้จริง แต่เมื่อเราพบกับสิ่งที่เราคิดว่าเป็นอิสระอย่างแท้จริงแล้ว เหตุใดเราจึงยังต้องแสวงหาความมีอิสระนั้นต่อไปอีกเล่า ? หรือความเป็นอิสระที่เราแสวงหานั้นมันยังไม่ใช่อิสระที่แท้จริงที่จะพาให้เราเป็นอิสระไปด้วยแล้วไม่ต้องเที่ยวไปแสวงหาอิสระที่ไหนอีก หรือแท้จริงแล้วมนุษย์เรานี้อาจไม่มีวันที่จะเป็นอิสระได้อย่างแท้จริงก็ได้

Read More

วันทั้ง 7 วัน ไม่สามารถใช้ทำนายได้

วันทั้ง 7 ในที่นี้ที่ผมจะกล่าวถึง วันใน 1 อาทิตย์ (วันอาทิตย์ ถึง วันเสาร์)

วันทั้ง 7 วันนี้เราได้ใช้กันมานานมากตั้งแต่ยุคที่เรายังเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลาง ดวงอาทิตย์เคลื่อนที่รอบโลก ณ ขณะนั้นเรายังคงมองเห็นดาวเคราะห์แค่ 5 ดวง, ดวงจันทร์ 1 ดวง, ดวงอาทิตย์ 1 ดวง รวมเป็น 7 ดวง มนุษย์ ณ ขณะนั้นจึงกำหนดวันมา 7 วัน และใช้ทำปฏิทินใช้เรื่อยมา (ปัจจุบันพบดาวเคราะห์มี 7 ดวง เพิ่ม ดาวยูเรนัส, ดาวเนปจูน)

โดยวันแต่ละวันจะถูกกำหนดจากการหมุนตัวของโลกเกิดกลางวันและกลางคืน วันจะถูกนับไปเรื่อย ๆ 7 วัน แล้วขึ้นสัปดาห์ต่อไปวนไปเรื่อย ๆ หากเราตรวจสอบดูแล้วการนับวันไม่ได้ยึดโยงธรรมชาติที่จะทำนายได้เลย

สิ่งที่จะบอกว่าวันทั้ง 7 วัน ไม่สามารถนำมาทำนายได้ก็คือ วันในแต่ละวันไม่มีจุดให้ตรวจสอบได้ว่านั้นถุกต้องจริงหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น หากเราหมดสติจนไม่รู้ว่ากี่วันแล้ว แล้วเรารู้สึกตัวขึ้นมาเราจะตรวจสอบจากธรรมชาติได้อย่างไรว่าวันนี้คือวันอะไร

ตัวอย่างเวลาของมนุษย์ที่ตรวจสอบได้คือ ข้างขึ้นข้างแรม เพราะเป็นเวลาที่มนุษย์เรียกตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เราสามารถตรวจสอบข้างขึ้นข้างแรมได้จากการดูแสงที่ดวงจันทร์ เช่น ดวงจันทร์เต็มดวง ก็จะใกล้เคียงกับวัน ขึ้น 15 ค่ำ

บางท่านยังคงสงสัยว่าถ้าวันทั้ง 7 วัน ไม่มีผลต่อการทำนาย เท่ากับว่าคนเกิดคนละวันก็ไม่ต่างกันนะสิ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่แตกต่างกันคือดาวในเรือนชะตาที่ต่างกัน เช่น คนที่เกิดวันอาทิตย์อีกคนวันจันทร์ห่างกัน 1 วัน ดวงจันทร์เคลื่อนที่ไปแล้ว 10 องศา ในส่วนนี้คือส่วนที่ต่างกันจริง แต่หากจะนับไปอีก 7 วัน เอาวันอาทิตย์เหมือนกันแต่ดาวในเรือนชะตาก็แตกต่างกันมาก

การที่วันทั้ง 7 ใช้ทำนายไม่ได้ แต่เรายังใช้กันอยู่เพราะเราใช้ตาม ๆ กันมา คนใช้เยอะเราจึงคิดว่าถูก

เรือนชะตาโลก

“เรือนชะตาโลก” คือ จักรราศี โดยแบ่งราศีต่างเป็นเรือนชะตา 12 เรือน เรือนชะตาโลกที่ 1 คือ ราศีเมษ และเรียงลำดับไปจนครบ 12 ราศี คือ 12 เรือน

เรือนชะตาโลกออกเป็นสองแบบ คือ

  • เรือนชะตาโลกที่อยู่ประจำตัวของคนแต่ละคน
  • เรือนชะตาโลกที่เคลื่อนตัวไปอยู่ ณ ปัจจุบันทุกขณะ
Read More

โหราศาสตร์ที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ Part 3

ต่อไปจะเป็นหลักการในเบื้องต้นที่จะต้องมีเพื่อให้หลักการทำนายนั้นมีความเป็นวิทยาศาสตร์ที่จะสามารถทพิสูจน์ได้ว่าดวงดาวมีอิทธิพลต่อมนุษย์หรือไม่

โหราศาสตร์ต้องถือว่าดวงดาวทุกดวงล้วนมีอิทธิพลต่อมนุษย์

เรื่องของจำนวนดวงดาวที่นำมาใช้ทำนายนี้ เราต้องถือว่าดวงดาวทุกดวงล้วนมีอิทธิพลเสมอกันหมด เพราะเราไม่มีอำนาจหยั่งรู้ใดที่จะบอกได้ว่าดวงดาวนั้นมีอิทธิพลแต่ดวงดาวอื่นไม่มี อย่างนี้จะเป็นการเลือกใช้ดวงดาวตามอคติของคน หากเรามีสมมุติฐานว่าดวงดาวน่าจะมีอิทธิพลต่อมนุษย์ในการพิสูจน์เราก็ต้องถือเอาดวงดาวทุกดวงว่าน่าจะมีอิทธิพลต่อมนุษย์ ไม่ควรที่จะเลือกเฉพาะดาวดวงใดดวงหนึ่งและตัดดาวดวงใดออกไป หากดวงดาวที่เป็นวัตถุที่อยู่นอกโลกนี้จะมีอิทธิพลต่อมนุษย์นั่นย่อมหมายความว่าดวงดาวทุกดวงก็ต้องล้วนมีอิทธิพลต่อมนุษยเสมอเหมือนกัน แต่ในทางสสารหรือพลังงานใด ๆ ที่ต่างกันของดวงดาวแต่ละดวงก็มีโอกาสที่ดวงดาวแต่ละดวงจะมีอิทธิพลต่อมนุษย์ในแบบที่แตกต่างกันไป ที่ผมกล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่า หากดวงดาวจะมีอิทธิพลก็ต้องมีอิทธิพลทุกดาว เพราะถือว่าเป็นดวงดาวเสมอกัน แต่หากจะมีดวงดาวที่มีอิทธิพลและมีดวงดาวที่ไม่มีอิทธิพล อย่างนี้ยิ่งจะดูไม่สมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก และเราจะไม่สามารถตอบได้เลยว่าเหตุใดดาวดวงหนึ่งมีอิทธิพลแต่ดาวดวงอื่น ๆ ไม่มีอิทธิพล แต่ทางที่สมเหตุสมผลมากที่สุดคือ หากดวงดาวจะมีอิทธิพลต่อมนุษ์มันก็ย่อมต้องมีอิทธิพลต่อมนุษย์ในทุก ๆ ดวงดาว และหากดวงดาวจะไม่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ดาวทุกดวงก็ต้องไม่มีอิทธิพลใด ๆ ต่อมนุษย์เลย อีกด้านหนึ่งหากเราสามารถพิสูจน์ได้ว่าดวงดาวมีอิทธิพลต่อมนุษย์ได้แม้แต่เพียงแค่ดวงเดียวนั่นก็ย่อมหมายความได้ว่าดวงดาวดวงอื่น ๆ ก็จะต้องมีอิทธิพลด้วยเช่นเดียวกัน แม้ว่าเราจะยังไม่ทราบว่าดาวดวงอื่น ๆ นั้นมีอิทธิพลอะไร แต่ก็ย่อมมีมูลให้เชื่อได้ว่ามีอิทธิพล

Read More

โหราศาสตร์ที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ Part 2

โหราศาสตร์ต้องเป็นกฎของดวงดาวมิใช่กฎที่มนุษย์คิดขึ้นเอาเอง

ดังที่กล่าวไปแล้วจะเห็นได้ว่าโหราศาสตร์ในแบบเก่านั้นคือลักษณะที่มีความเป็นอนุรักษ์นิยม ควรถือเป็นศาสตร์ที่หยุดการพัฒนาแล้วหรืออาจมีแต่ก็ไม่มาก คือไม่มีการพัฒนาให้สอดคล้องกับความเจริญทางดาราศาสตร์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ในปัจจุบันมีการค้นพบดวงดาวในระบบสุริยะอย่างน้อยก็หลักแสนดวงแล้ว มีการคำนวนปฎิทินดาวที่มีความแม่นยำ หากเราจะมีสมมุติฐานว่าดวงดาวน่าจะมีอิทธิพลอย่างใดต่อมนุษย์เสียแล้ว การพิสูจน์นั้นจะต้องยึดกฎของดวงดาวเป็นหลัก มิใช้ยึดในกฎที่คนสร้างขึ้นมาเอง กฎของดวงดาวก็คืออย่างน้อยเราต้องยึดถือตำแหน่งของดวงดาวตามความเป็นจริง และต้องถือว่าดวงดาวทุกดวงนั้นล้วนแต่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ด้วย แต่อาจจะมีอิทธิพลในแบบที่แตกต่างกันไป มิใช่จะยึดว่ามีดวงดาวเพียงแค่ไม่กี่ดวง (ดวงอาทิตย์ไปจนถึงดาวพลูโต เป็นต้น) เท่านั้นที่มีผลต่อมนุษย์ แต่ดาวดวงอื่นไม่มี หลักการอย่างนี้ดูน่าตลกมาก เราไม่สามารถตัดสินว่าดาวดวงใดมีผลและดาวดวงใดไม่มีผล ส่วนดาวที่ไม่รู้จักเราก็ถือว่ามันไม่มีผลอย่างนี้หรือ ?

Read More

โหราศาสตร์ที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์

โหราศาสตร์มีความเป็นวิทยาศษสตร์ได้หรือ ? ฟังดูแล้วมันขัดกับความเชื่อของใครหลาย ๆ คนมากว่า โหราศาสตร์จะเป็นวิทยาศาสตร์ไปได้อย่างไร ? ผมขอบอกว่าเมื่อมนุษย์มีความเจริญทางวิทยาศาสตร์จนถึงที่สุดหรือในระดับที่สูงมากพอที่จะค้นพบดวงดาวในจักรวาลได้มากกว่าแสนดวงอย่างในปัจจุบันนี้แล้ว สุดท้ายแล้วโหราศาสตร์จะต้องมีความเป็นวิทยาศาสตร์ตามไปด้วยอย่างแน่นอน ก่อนอื่นเราต้องแยกแยะกันระหว่าง ดวงดาวในจักรวาลกับโหราศาสตร์ออกจากกันก่อน สองอย่างนี้ไม่ใช่สิ่งเดียวกันแต่มันก็เกียวข้องกัน คนหลายคนมักไม่ได้แยกสองสิ่งนี้ออกจากกัน พอได้ยินคำว่า “ดวงดาว” ก็ไปคิดเอาถึงโหราศาสตร์หรือการทำนายด้วยดวงดาวอย่างใดอย่างหนึ่งทันที และภาพจำของโหราศาสตร์ในแบบของเขาก็จะเกิดขึ้น หากเราเหมารวมทั้งสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน เราก็อาจจะมองเรื่องเกี่ยวกับดวงดาวเป็นเรื่องของความเชื่อหรือความงมงายไปได้ง่าย ๆ และการเหมารวมก็อาจถือเป็นความเชื่อของคนที่เหมารวมไปด้วยเช่นกัน เพราะเขามองภาพว่าเรื่องของดวงดาวเป็นเรื่องของความเชื่อไปเสียทั้งหมด

Read More