ฤกษ์คลอดบุตรที่ดีเป็นอย่างไร

หลายคนมักเข้าใจว่าหากบุตรที่เกิดนั้นผ่านการดูฤกษ์คลอดแล้ว บุตรที่เกิดมานั้นจะต้องเป็นบุตรที่ดี หรือมักคิดว่าฤกษ์คลอดบุตรที่ดีนั้นจะต้องส่งเสริมให้บุตรเป็นคนที่ดี ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและการเงิน เป็นต้น ราวกับว่าการดูฤกษ์คลอดนั้นเป็นเหมือนพิธีกรรมหนึ่งที่จะทำให้บุตรที่เกิดมานั้นเป็นคนที่ประสบความสำเร็จแน่นๆ (ในมุมของผู้ปกครอง) เมื่อดูฤกษ์คลอดบุตรแล้วบุตรที่เกิดมานั้นจะต้องดีแน่ ๆ หรืออย่างน้อยก็มีคนรับรองแล้วว่าดี

แท้จริงแล้วการดูฤกษ์คลอดบุตรมิใช่เป็นการทำให้บุตรที่เกิดนั้นเป็นคนที่ดีหรือมีสิ่งที่ดีแก่บุตร แต่ฤกษ์คลอดบุตรนั้นสามารถบอกถึงจุดที่ไม่ดีที่จะเกิดขึ้นกับบุตรได้ โดยศาสตร์แบบเก่าอาจจะบอกเพียงด้านดีและไม่ดีเพียง 2 ด้าน สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นอาจะจะเป็นเพราะมีการใช้ดาวที่น้อย มีสูตรกำหนดตายตัวไว้ มีสูตรบอกว่าไม่ดีหรือดีๆ ให้คนเชื่อได้ง่าย ซึ่งขัดแย้งกับความเป็นจริงของมนุษย์ มนุษย์ทุกคนล้วนเป็นสีเทาจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน

Read More

วันทั้ง 7 วัน ไม่สามารถใช้ทำนายได้

วันทั้ง 7 ในที่นี้ที่ผมจะกล่าวถึง วันใน 1 อาทิตย์ (วันอาทิตย์ ถึง วันเสาร์)

วันทั้ง 7 วันนี้เราได้ใช้กันมานานมากตั้งแต่ยุคที่เรายังเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลาง ดวงอาทิตย์เคลื่อนที่รอบโลก ณ ขณะนั้นเรายังคงมองเห็นดาวเคราะห์แค่ 5 ดวง, ดวงจันทร์ 1 ดวง, ดวงอาทิตย์ 1 ดวง รวมเป็น 7 ดวง มนุษย์ ณ ขณะนั้นจึงกำหนดวันมา 7 วัน และใช้ทำปฏิทินใช้เรื่อยมา (ปัจจุบันพบดาวเคราะห์มี 7 ดวง เพิ่ม ดาวยูเรนัส, ดาวเนปจูน)

โดยวันแต่ละวันจะถูกกำหนดจากการหมุนตัวของโลกเกิดกลางวันและกลางคืน วันจะถูกนับไปเรื่อย ๆ 7 วัน แล้วขึ้นสัปดาห์ต่อไปวนไปเรื่อย ๆ หากเราตรวจสอบดูแล้วการนับวันไม่ได้ยึดโยงธรรมชาติที่จะทำนายได้เลย

สิ่งที่จะบอกว่าวันทั้ง 7 วัน ไม่สามารถนำมาทำนายได้ก็คือ วันในแต่ละวันไม่มีจุดให้ตรวจสอบได้ว่านั้นถุกต้องจริงหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น หากเราหมดสติจนไม่รู้ว่ากี่วันแล้ว แล้วเรารู้สึกตัวขึ้นมาเราจะตรวจสอบจากธรรมชาติได้อย่างไรว่าวันนี้คือวันอะไร

ตัวอย่างเวลาของมนุษย์ที่ตรวจสอบได้คือ ข้างขึ้นข้างแรม เพราะเป็นเวลาที่มนุษย์เรียกตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เราสามารถตรวจสอบข้างขึ้นข้างแรมได้จากการดูแสงที่ดวงจันทร์ เช่น ดวงจันทร์เต็มดวง ก็จะใกล้เคียงกับวัน ขึ้น 15 ค่ำ

บางท่านยังคงสงสัยว่าถ้าวันทั้ง 7 วัน ไม่มีผลต่อการทำนาย เท่ากับว่าคนเกิดคนละวันก็ไม่ต่างกันนะสิ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่แตกต่างกันคือดาวในเรือนชะตาที่ต่างกัน เช่น คนที่เกิดวันอาทิตย์อีกคนวันจันทร์ห่างกัน 1 วัน ดวงจันทร์เคลื่อนที่ไปแล้ว 10 องศา ในส่วนนี้คือส่วนที่ต่างกันจริง แต่หากจะนับไปอีก 7 วัน เอาวันอาทิตย์เหมือนกันแต่ดาวในเรือนชะตาก็แตกต่างกันมาก

การที่วันทั้ง 7 ใช้ทำนายไม่ได้ แต่เรายังใช้กันอยู่เพราะเราใช้ตาม ๆ กันมา คนใช้เยอะเราจึงคิดว่าถูก

18 ม.ค. 64 มีดาวพระเคราะห์น้อยดวงสำคัญกำลังจะข้ามเรือนชะตาโลก

ดาวพระเคราะห์น้อยดวงหนึ่งมีความหมายว่า “การจัดการ” กำลังจะเข้าเรือนชะตาโลกที่ 1 ในวันที่ 18 ม.ค. 64 เวลา 1.15น. จากเดิมที่ดาวดวงนี้อยู่ในเรือนชะตาโลกที่ 12 มาเป็นเวลาหลายเดือนตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว ในขณะนี้ส่งผลให้ประชาชนต้องรับหรือยอมรับต่อ “การจัดการ” ของผู้ปกครองหรือรัฐบาล ไม่ว่าผุ้ปกครองนั้นจะจัดการอย่างไรต่อประชาชน พวกเขาก็พร้อมที่จะรับหรือรับได้ (ทั้งในทางที่เป็นคุณหรือโทษต่อประชาชนคนส่วนใหญ่) แต่เมื่อดาวพระเคราะห์น้อยดวงดังกล่าวเข้าสู่เรือนชะตาโลกที่ 1 (ตามวันเวลาดังกล่าวแล้ว) จะส่งผลในทางกลับกันหลังจากนั้น นั่นคือ ประชาชนจะต้องการที่จะ “จัดการ” สิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง (ด้วยประชาชนเอง) กล่าวคือ ประชาชนจะเกิดความต้องการที่ออกมาจัดการสิ่งใด ๆ ด้วยตนเอง และจะมิใช่ผู้ที่ต้องรอรับการจัดการจากฝ่ายผู้ปกครองอีกต่อไปแล้ว ผู้ปกครองจะเป็นฝ่ายที่ไม่สามารถใช้ “การจัดการ” ใด ๆ ต่อประชาชนได้เพราะประชาชนไม่ต้องการจะรับเพียงฝ่ายเดียว

“การจัดการ” นี้คือการจัดการในเรื่องใดบ้าง ๆ ? ก็ต้องตอบว่า ดาวพระเคราะห์น้อยที่ว่านี้มีความหมายว่า “การจัดการ” เพียงเท่านี้ (เพราะดาวทุกดวงล้วนเป็นความหมายกลาง ๆ ที่เป็นพื้นฐานหรือส่วนประกอบของความเป็นมนุษย์ทุกคน) แต่จะเป็น “การจัดการ” ของประชาชนในเรื่องใดนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับบริบทของสังคนนั้น ๆ ด้วยว่าก่อนหน้านี้ (ตามดาวนี้อยู่เรือนชะตาโลกที่ 12) ประชาชนถูกหรือรับ “การจัดการ” ในเรื่องใดบ้าง พอดาวข้ามเรือนมาแล้วเรื่อง “การจัดการ” นั้นมันก็จะกลับกันนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ก่อนหน้านี้ประชาชนถูกมาตราการการจัดการของรัฐบาลเรื่องโควิด หรือบางประเทศประชาชนอาจมาตราการการปราบรามของรัฐจากการประท้วง เป็นต้น เพราะดวงดาวนั้นส่งผลถึงคนบนโลกทั้งหมด ซึ่งขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละประเทศ

ดาวพระเคราะห์น้อยดวงที่ว่านี้จะเข้าเรือนชะตาโลกที่ 1 ในวันที่ 18 ม.ค. 64 เวลา 1.15น. และจะเข้าสู่เรือนชะตาโลกที่ 2 และ 3 ต่อไป ซึ่งช่วงเวลาที่ดาวดวงนี้อยู่ในเรือนชะตาโลกที่ 1, 2, 3 นี้จะถือว่าประชาชนมี “การจัดการ” สิ่งใด ๆ เป็นของประชาชนเอง เพียงแต่ในเรือนชะตาโลกที่ 1, 2, 3 นั้นจะมีรายละเอียดที่ต่างกัน และดาวพระเคราะห์น้อยดวงนี้จะเข้าสู่เรือนชะตาโลกที่ 4 ในวันที่ 10 ก.ย. 64 เวลา 10.31 น. ซึ่งการที่ดาวนี้ออกจากเรือนชะตาโลกที่ 3 ไปเข้าสู่เรือนที่ 4 นั้น ย่อมหมายความว่า “การจัดการ” กลายเป็นสิ่งที่ไปอยู่ในฝ่ายของ “ผู้อื่น” อีกครั้ง ซึ่ง “ผู้อื่น” ของประชาชนนี้ก็คือ ผู้ปกครองหรือรัฐบาลนั่นเอง

Ixion 2020 – 2021 Timeline

รูปนี้บอกให้ทราบถึงช่วงเวลาในการเคลื่อนที่ของดาว Ixion จากเรือนชะตาโลกที่ 9 ไป 10 ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าแบบนั้นมีลักษณะที่แกว่งไปมา จึงมีช่วงเวลาที่ Ixion เข้าสู่เรือนชะตาโลกที่ 10 แล้วแต่ก็ยังแกว่งกลับมาอยู่เรือนชะตาที่ 9 ได้อีกจากนั้นก็แกว่งไปมาจนในที่สุดที่เข้าเรือนที่ 10 ไปในที่สุด ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะทั้งโลกและดาว Ixion นั้นต่างก็เคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ด้วยกันทั้งคู่ อิทธิพลของดาว Ixion ในเรือนชะตาโลกจึงมีลักษณะบางช่วงที่แกว่งไปมาได้เสมอ แม้ว่าในความเป็นจริงดวงดาวจะไม่ได้เคลื่อนที่ถอยหลังจริงๆ ก็ตาม

Read More

ดาว Ixion กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

ผมเคยได้โพสเรื่องของดาว Ixion มาแล้ว เกี่ยวกับการโคจรข้ามเรือนชะตาโลกเรือนที่ 9 เข้าสู่เรือนที่ 10 แต่ยังไม่ได้ลงรายละเอียดใด ๆ มาก แต่โพสนี้ผมจะลงรายละเอียดให้ผู้อื่นได้เข้าใจเกี่ยวกับดวงดาวนนี้มากยิ่งขึ้น (ในการอธิบายจำเป็นต้องกล่าวถึงทฤษฎีเรือนชะตาเพื่ออ้างอิงในหลักการทำนายด้วยแต่ผมจะกล่าวอย่างสรุปโดยย่อเพื่อไม่ให้เป็นการยืดยาวจนเกินไป ผู้อ่านสามารถไปตามอ่านได้จากบทความในภาคทฤษฎี) ในที่นี้ผมจะกล่าวถึงดวงดาวที่ชื่อ “Ixion” ที่กำลังโคจรข้าม “เรือนชะตาโลก” จากเรือนชะตาโลกที่ 9 เข้าสู่เรือนชะตาโลกที่ 10 ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ต่อคนบนโลก หลักการทำนายมีเป็นหลักการที่ยึดหลักความเป็นเหตุเป็นผล มิใช่หลักการทำนายที่ต้องอาศัยความเชื่อหรือพิธีกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น การทำนายนี้มิใช่การทำนายที่เป็นการวิเคราะห์ไปตามสถานการณ์ แต่เป็นการทำนายจากผลที่เกิดขึ้นตามระบบเรือนชะตาที่มีการคำนวณตามหลักดาราศาสตร์ รวมไปถึงผลที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีตจากการโคจรข้ามเรือนชะตาโลกของดาวดวงนี้ และดาว Ixion เป็นดวงดาวที่มีอยู่จริงได้รับการรับรองทางดาราศาสตร์สากลและมีการคำนวณปฏิทินดวงมาอย่างแน่นอนแล้ว

Read More

เรือนชะตาโลก

“เรือนชะตาโลก” คือ จักรราศี โดยแบ่งราศีต่างเป็นเรือนชะตา 12 เรือน เรือนชะตาโลกที่ 1 คือ ราศีเมษ และเรียงลำดับไปจนครบ 12 ราศี คือ 12 เรือน

เรือนชะตาโลกออกเป็นสองแบบ คือ

  • เรือนชะตาโลกที่อยู่ประจำตัวของคนแต่ละคน
  • เรือนชะตาโลกที่เคลื่อนตัวไปอยู่ ณ ปัจจุบันทุกขณะ
Read More

โหราศาสตร์ที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ Part 3

ต่อไปจะเป็นหลักการในเบื้องต้นที่จะต้องมีเพื่อให้หลักการทำนายนั้นมีความเป็นวิทยาศาสตร์ที่จะสามารถทพิสูจน์ได้ว่าดวงดาวมีอิทธิพลต่อมนุษย์หรือไม่

โหราศาสตร์ต้องถือว่าดวงดาวทุกดวงล้วนมีอิทธิพลต่อมนุษย์

เรื่องของจำนวนดวงดาวที่นำมาใช้ทำนายนี้ เราต้องถือว่าดวงดาวทุกดวงล้วนมีอิทธิพลเสมอกันหมด เพราะเราไม่มีอำนาจหยั่งรู้ใดที่จะบอกได้ว่าดวงดาวนั้นมีอิทธิพลแต่ดวงดาวอื่นไม่มี อย่างนี้จะเป็นการเลือกใช้ดวงดาวตามอคติของคน หากเรามีสมมุติฐานว่าดวงดาวน่าจะมีอิทธิพลต่อมนุษย์ในการพิสูจน์เราก็ต้องถือเอาดวงดาวทุกดวงว่าน่าจะมีอิทธิพลต่อมนุษย์ ไม่ควรที่จะเลือกเฉพาะดาวดวงใดดวงหนึ่งและตัดดาวดวงใดออกไป หากดวงดาวที่เป็นวัตถุที่อยู่นอกโลกนี้จะมีอิทธิพลต่อมนุษย์นั่นย่อมหมายความว่าดวงดาวทุกดวงก็ต้องล้วนมีอิทธิพลต่อมนุษยเสมอเหมือนกัน แต่ในทางสสารหรือพลังงานใด ๆ ที่ต่างกันของดวงดาวแต่ละดวงก็มีโอกาสที่ดวงดาวแต่ละดวงจะมีอิทธิพลต่อมนุษย์ในแบบที่แตกต่างกันไป ที่ผมกล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่า หากดวงดาวจะมีอิทธิพลก็ต้องมีอิทธิพลทุกดาว เพราะถือว่าเป็นดวงดาวเสมอกัน แต่หากจะมีดวงดาวที่มีอิทธิพลและมีดวงดาวที่ไม่มีอิทธิพล อย่างนี้ยิ่งจะดูไม่สมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก และเราจะไม่สามารถตอบได้เลยว่าเหตุใดดาวดวงหนึ่งมีอิทธิพลแต่ดาวดวงอื่น ๆ ไม่มีอิทธิพล แต่ทางที่สมเหตุสมผลมากที่สุดคือ หากดวงดาวจะมีอิทธิพลต่อมนุษ์มันก็ย่อมต้องมีอิทธิพลต่อมนุษย์ในทุก ๆ ดวงดาว และหากดวงดาวจะไม่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ดาวทุกดวงก็ต้องไม่มีอิทธิพลใด ๆ ต่อมนุษย์เลย อีกด้านหนึ่งหากเราสามารถพิสูจน์ได้ว่าดวงดาวมีอิทธิพลต่อมนุษย์ได้แม้แต่เพียงแค่ดวงเดียวนั่นก็ย่อมหมายความได้ว่าดวงดาวดวงอื่น ๆ ก็จะต้องมีอิทธิพลด้วยเช่นเดียวกัน แม้ว่าเราจะยังไม่ทราบว่าดาวดวงอื่น ๆ นั้นมีอิทธิพลอะไร แต่ก็ย่อมมีมูลให้เชื่อได้ว่ามีอิทธิพล

Read More

โหราศาสตร์ที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ Part 2

โหราศาสตร์ต้องเป็นกฎของดวงดาวมิใช่กฎที่มนุษย์คิดขึ้นเอาเอง

ดังที่กล่าวไปแล้วจะเห็นได้ว่าโหราศาสตร์ในแบบเก่านั้นคือลักษณะที่มีความเป็นอนุรักษ์นิยม ควรถือเป็นศาสตร์ที่หยุดการพัฒนาแล้วหรืออาจมีแต่ก็ไม่มาก คือไม่มีการพัฒนาให้สอดคล้องกับความเจริญทางดาราศาสตร์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ในปัจจุบันมีการค้นพบดวงดาวในระบบสุริยะอย่างน้อยก็หลักแสนดวงแล้ว มีการคำนวนปฎิทินดาวที่มีความแม่นยำ หากเราจะมีสมมุติฐานว่าดวงดาวน่าจะมีอิทธิพลอย่างใดต่อมนุษย์เสียแล้ว การพิสูจน์นั้นจะต้องยึดกฎของดวงดาวเป็นหลัก มิใช้ยึดในกฎที่คนสร้างขึ้นมาเอง กฎของดวงดาวก็คืออย่างน้อยเราต้องยึดถือตำแหน่งของดวงดาวตามความเป็นจริง และต้องถือว่าดวงดาวทุกดวงนั้นล้วนแต่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ด้วย แต่อาจจะมีอิทธิพลในแบบที่แตกต่างกันไป มิใช่จะยึดว่ามีดวงดาวเพียงแค่ไม่กี่ดวง (ดวงอาทิตย์ไปจนถึงดาวพลูโต เป็นต้น) เท่านั้นที่มีผลต่อมนุษย์ แต่ดาวดวงอื่นไม่มี หลักการอย่างนี้ดูน่าตลกมาก เราไม่สามารถตัดสินว่าดาวดวงใดมีผลและดาวดวงใดไม่มีผล ส่วนดาวที่ไม่รู้จักเราก็ถือว่ามันไม่มีผลอย่างนี้หรือ ?

Read More

โหราศาสตร์ที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์

โหราศาสตร์มีความเป็นวิทยาศษสตร์ได้หรือ ? ฟังดูแล้วมันขัดกับความเชื่อของใครหลาย ๆ คนมากว่า โหราศาสตร์จะเป็นวิทยาศาสตร์ไปได้อย่างไร ? ผมขอบอกว่าเมื่อมนุษย์มีความเจริญทางวิทยาศาสตร์จนถึงที่สุดหรือในระดับที่สูงมากพอที่จะค้นพบดวงดาวในจักรวาลได้มากกว่าแสนดวงอย่างในปัจจุบันนี้แล้ว สุดท้ายแล้วโหราศาสตร์จะต้องมีความเป็นวิทยาศาสตร์ตามไปด้วยอย่างแน่นอน ก่อนอื่นเราต้องแยกแยะกันระหว่าง ดวงดาวในจักรวาลกับโหราศาสตร์ออกจากกันก่อน สองอย่างนี้ไม่ใช่สิ่งเดียวกันแต่มันก็เกียวข้องกัน คนหลายคนมักไม่ได้แยกสองสิ่งนี้ออกจากกัน พอได้ยินคำว่า “ดวงดาว” ก็ไปคิดเอาถึงโหราศาสตร์หรือการทำนายด้วยดวงดาวอย่างใดอย่างหนึ่งทันที และภาพจำของโหราศาสตร์ในแบบของเขาก็จะเกิดขึ้น หากเราเหมารวมทั้งสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน เราก็อาจจะมองเรื่องเกี่ยวกับดวงดาวเป็นเรื่องของความเชื่อหรือความงมงายไปได้ง่าย ๆ และการเหมารวมก็อาจถือเป็นความเชื่อของคนที่เหมารวมไปด้วยเช่นกัน เพราะเขามองภาพว่าเรื่องของดวงดาวเป็นเรื่องของความเชื่อไปเสียทั้งหมด

Read More