ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “ฤกษ์คลอดบุตร” ที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อน

การดูฤกษ์คลอดบุตรมักถูกเข้าใจผิดว่าคือ “การสร้างเด็กที่ดีที่สุด” หรือ “กำหนดให้ลูกมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ” แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฤกษ์คลอดไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อทำให้ลูกเป็นอภิชาตบุตรโดยอัตโนมัติ และไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัวว่าเดือนนี้ดี วันนั้นดี หรือฤกษ์ไหนดีที่สุดสำหรับทุกคน

แท้จริงแล้ว การเลือกเวลาคลอดเป็นศาสตร์ที่ซับซ้อนและต้องใช้ความเข้าใจต่อระบบดาวและความสมดุลของดวงชะตาอย่างละเอียดมากกว่าที่คนทั่วไปคิด

ด้านล่างนี้คือความเข้าใจผิดที่พบบ่อยที่สุด พร้อมคำอธิบายที่ถูกต้องตามหลักโหราศาสตร์สากลที่ใช้ดาวจริงมากกว่า 50 ดวง

1. “อภิชาตบุตร” หรือฤกษ์ดี–ไม่ดี ไม่ได้กำหนดแบบตายตัว

หลายคนเชื่อว่าหากผ่านการดูฤกษ์คลอดแล้ว เด็กที่เกิดมาจะต้องเป็นเด็กดี ประสบความสำเร็จ และมีชีวิตราบรื่นเสมอ

ความจริง:
ฤกษ์คลอดไม่ได้สร้างความดีหรือความสำเร็จแบบอัตโนมัติ แต่มันคือ

การจัดสัดส่วนและความสมดุลของดาวในช่วงเวลาคลอด
เพื่อหลีกเลี่ยงจุดอ่อนที่อาจรุนแรงในชีวิตเด็ก

ดวงชะตาเป็นเหมือนส่วนผสมของดาวหลายดวง
ไม่มีใคร “ดี 100%” หรือ “แย่ 100%” เพราะมนุษย์คือความจริงที่อยู่ระหว่างดี–ไม่ดีในแบบซับซ้อน

ฤกษ์คลอดจึงเน้น “ลดจุดไม่ดี” มากกว่า “สร้างคนที่เพอร์เฟกต์”


2. ระบบดาวที่มีอิทธิพลไม่ได้มีแค่ 10 ดวงแบบโหราศาสตร์ไทย/จีน

ความเข้าใจทั่วไปมักมองว่าโหราศาสตร์มีแค่ดาวเคราะห์หลัก เช่น
ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส เสาร์ ฯลฯ

แต่ในการดูฤกษ์คลอดแบบละเอียดจริง ๆ
จะใช้ระบบดาวมากกว่า 50 ดวง
ทั้งดาวเคราะห์หลัก ดาวเคราะห์แคระ ดาวบริวาร ดาวในแถบไคเปอร์ ฯลฯ

เหตุผลคือ

ยิ่งใช้ดาวมาก ข้อมูลยิ่งละเอียด และเห็นความจริงของบุคลิกและอนาคตเฉพาะบุคคลได้ชัดเจนกว่า

การใช้ดาวแค่ไม่กี่ดวงจึงไม่เพียงพอสำหรับการพยากรณ์เฉพาะจุดอย่างเวลาคลอด


3. ชื่อ “ฤกษ์ไทย” ที่ใช้กันทั่วไป เป็นเพียงสิ่งที่สมมุติขึ้น

ฤกษ์พื้นบ้าน เช่น

  • ฤกษ์มหัทธโน
  • ฤกษ์ชัยมงคล
  • ฤกษ์เทวีฤกษ์
    ฯลฯ

แม้จะเป็นที่นิยม แต่เป็นระบบที่ “ตั้งชื่อขึ้นตามความเชื่อ” โดยไม่ได้อิงตำแหน่งดาวจริงจำนวนมากพอ

จึงทำให้หลายครั้ง

  • เด็กได้ฤกษ์ที่ชื่อดี แต่ดวงจริงมีจุดอ่อนรุนแรง
  • หรือฤกษ์ที่ชื่อไม่สวยแต่ดวงจริงสมดุลกว่า

การดูฤกษ์ที่อ้างชื่อฤกษ์ไทย ไม่สามารถสะท้อนดวงชะตาที่แท้จริงได้


4. วันทั้ง 7 วัน (อาทิตย์–เสาร์) ไม่ใช้ทำนาย ไม่สามารถบอกอะไรได้

หลายระบบเชื่อมวันเกิดกับนิสัย เช่น

  • คนเกิดวันอาทิตย์ ใจร้อน
  • คนเกิดวันพุธ ฉลาด
  • คนเกิดวันศุกร์ อ่อนไหวง่าย

แต่ในความจริงแล้ว “วันทั้ง 7 วัน” ไม่มีต้นกำเนิดจากการสังเกตธรรมชาติเลย

ที่มาของวันทั้ง 7 คือ
มนุษย์สมัยโบราณมองเห็นวัตถุบนฟ้า 7 ดวง (อาทิตย์ จันทร์ + 5 ดาวเคราะห์)
จึงตั้งชื่อวันขึ้นมาเท่านั้น

แทนที่จะยึดถือธรรมชาติแบบ

  • ข้างขึ้น ข้างแรม
  • ตำแหน่งดวงจันทร์
  • การโคจรของดาวจริง

วันในปฏิทินจึง ไม่มีคุณสมบัติทางธรรมชาติให้ใช้ทำนาย
และ ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า “วันนี้คือวันอะไร” จากธรรมชาติจริง ๆ

ดังนั้น วันเกิดไม่ใช่ตัวกำหนดนิสัยหรือชะตาชีวิต
สิ่งที่กำหนดคือ

ตำแหน่งดาวในเรือนชะตา ณ วินาทีที่เด็กลืมตาดูโลก


5. ฤกษ์ที่ “ดีในอดีต” อาจไม่ดีในอนาคต เพราะกระแสโลกเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา

อีกความเข้าใจผิดที่สำคัญคือ หลายคนคิดว่า
“ฤกษ์ที่ดีสมัยก่อน = ต้องดีเสมอในทุกยุคสมัย”

ความจริงแล้ว ฤกษ์คลอดไม่ได้อยู่นอกเหนือกาลเวลา
เพราะ “คุณค่าของอาชีพและบุคลิกที่สังคมต้องการ” เปลี่ยนแปลงตลอด

ในอดีต

  • การเป็นทหาร
  • การเป็นตำรวจ
  • การเป็นนักการเมือง
  • หรือเป็น “เจ้าคนนายคน”

ถูกมองว่าเป็นเส้นทางที่มีเกียรติและมั่นคง
พ่อแม่หลายคนจึงอยากให้ลูกมีนิสัยที่กล้า แข็ง เข้ม ง่ายต่อการเป็นผู้นำแบบดั้งเดิม

แต่ในปัจจุบันและอนาคต

  • ความต้องการของอาชีพเปลี่ยน
  • โครงสร้างสังคมเปลี่ยน
  • ทักษะที่จำเป็นต่อความสำเร็จเปลี่ยนไปมาก
    ยิ่งไปกว่านั้น อาชีพหลายอย่างในอดีตอาจไม่ได้เป็นที่ต้องการหรือไม่มีความหมายเหมือนเดิมอีกต่อไป

ดังนั้น

ฤกษ์ที่เคยเหมาะสมกับอดีต อาจไม่ใช่ฤกษ์ที่เหมาะกับอนาคตของเด็กในยุคใหม่

นี่คือเหตุผลว่าทำไม
“ฤกษ์แบบเดิม” หรือสูตรฤกษ์ที่สืบทอดกันมา ไม่สามารถใช้กับยุคใหม่ได้อีก
เพราะไม่ได้อิงกับ กระแสโลก, โครงสร้างอาชีพอนาคต, และรูปแบบทักษะที่มนุษย์ยุคใหม่ต้องการ

การเลือกฤกษ์ในปัจจุบันจึงต้องมองไปข้างหน้า
ไม่ใช่มองย้อนกลับไปตามความเชื่อเดิมของสังคมในอดีต


บทสรุป

ฤกษ์คลอดไม่ใช่การหาวัน “ดีที่สุด” ที่ฟันธงได้ล่วงหน้า แต่คือศิลปะของการวิเคราะห์ความสมดุลของดาวในช่วงเวลาที่ส่งผลต่อเด็กตลอดชีวิต

  • ไม่ได้มีสูตรสำเร็จ
  • ไม่ได้ขึ้นกับชื่อฤกษ์ไทย
  • ไม่ได้เกี่ยวกับวันอาทิตย์–เสาร์
  • และไม่ใช่การสร้างอภิชาตบุตรแบบการันตี

แต่คือการเลือกช่วงเวลาที่ เหมาะสมที่สุด ลดจุดเสียหนัก และสร้างความสมดุลให้ชีวิตเด็กมากที่สุด